วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ภาพสะท้อนของตัวเรา


เรื่องดี ดี มีประโยชน์เสมอ กับการเติมคุณค่า ให้ข้อคิด แก่ชีวิต

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง ทุกๆเช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้านจากหน้าต่างชั้นบนบ้าน และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง

เพื่อนบ้านเรานี่ ซักผ้าไม่เป็นเลย เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือใช้วิธีซักอย่างไร
สามีก็ตอบว่า อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน

แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้า จากหน้าต่างข้างบนบ้าน และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว...

ต่อมาวันหนึ่ง ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี ด้วยความแปลกประหลาดใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร หรือทำอย่างไร..

สามีหัวเราะและกล่าวว่า นี่..ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด.. ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความ สกปรก..
มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆตัว

มนุษย์เราชอบมองคนอื่น โดยผ่านจิตใจของเราออกไป เมื่อจิตใจของเราสะอาด เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆตัว
แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบๆตัวเรา
เราต้องเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว... สิ่งที่เราเห็น มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
และเราจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว จิตใจก็ไม่สงบ เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์ แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข...

ความสุขใกล้ตัว


ความสุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่ขว้า

คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตัลสักตัวหนึ่ง
หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู้จัก
ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร
คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหาร้านที่ขายถูกที่สุด
แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕ %
คุณตัดสินใจควักเงิน ๗,๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้าน
ด้วยความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก


แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับคุณ
แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไปเพียง ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น





คุณจะรู้สึกอย่างไร? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?

ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป
อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ?
แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเอง
เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่?

คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น
ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้
จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์
เคยสังเกตหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของตัว
แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว
และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก
แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที

อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆ
เช่น ได้โทรศัพท์มือ ถือมาฟรี ๆ ๑ เครื่อง
ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า
จากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันที แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม ?
ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น




ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป

เราจึงไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใด
ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไป
แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา
แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี
มองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่
ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันที
จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย
เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มากมาย
เพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา

พอใจในสิ่งที่เรามี
ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว
นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น

...เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว


ชีวิตของเรา ต่างอะไรกัน ผ้าขี้ริ้ว (อีกมุมที่น่าคิด)


1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ


2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด


3.ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง


4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น


5.ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน


6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร


7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น


8.ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน


9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

เงินไม่สำคัญเสมอไป


เงิน ซื้อเตียงนอนได้ แต่ซื้อการหลับเป็นสุขไม่ได้

เงิน ซื้อกระดาษปากกาได้ แต่ซื้อความเป็นกวีไม่ได้

เงิน ซื้ออาหารดีๆ ได้ แต่ซื้อความอยากรับประทานไม่ได้

เงิน ซื้อความประจบสอพลอได้ แต่ซื้อความจริงใจไม่ได้

เงิน ซื้อการตามใจได้ แต่ซื้อความจงรักภักดีไม่ได้

เงิน ซื้อเพชรนิลจินดาได้ แต่ซื้อความงามไม่ได้

เงิน ซื้อความสนุกชั่วคราวได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้

เงิน ซื้อเพื่อนร่วมเดินทางได้ แต่ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้

เงิน ซื้ออำนาจราชศักดิ์ได้ แต่ซื้อปัญญาไม่ได้

เงิน ซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ได้ แต่ซื้อสันติสุขไม่ได้

เงิน ซื้อเมียที่สวยได้ แต่ซื้อแม่ที่ดีให้ลูกไม่ได้


**เงิน จะสำคัญเมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น**

ฉันชื่อ โอกาส


ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก

เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง

ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก

แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่


คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา
รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร

ฉันชื่อโอกาส

ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา

ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส

ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?

เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก

เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้

ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน

จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย

แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน

ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว

ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว

ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่



จริงด้วย ทางด้านหน้าของ โอกาส

มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง

เพราะเมื่อปล่อยให้

โอกาส

ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก

โอกาส จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า

อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย

เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู

แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน

ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ

เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง

ให้รีบตัดสินใจ

ให้ลงมือทำ

ให้ออกแรง ให้สู้

เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ

จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป

เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง

ที่ฉัน โอกาส ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย

ทำอย่างไรจะหายโกรธ


ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ

ก. สอนตนเองให้นึกว่า พระพุทธเจ้าของเราทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ และทรงสอนชาวพุทธให้เป็นคนดีเมตตา เรามัวมาโกรธอยู่ไม่ระงับความโกรธเสีย เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ไม่ทำตามอย่างพระศาสดา ไม่สมกับเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า จงรีบทำตัวให้สมกับที่เป็นศิษย์ของพระองค์ และจงเป็นชาวพุทธที่ดี

ข. พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่โกรธเขาก่อนก็นับว่าเลวอยู่แล้ว คนที่ไม่มีสติรู้เท่าทันหลงโกรธตอบเขาไปอีก ก็เท่ากับสร้างความเลวให้ยืดยาวเพิ่มมากขึ้น นับว่าเลวหนักลงไปกว่าคนที่โกรธก่อนนั้นอีก เราอย่าเป็นทั้งคนเลว ทั้งคนเลวกว่านั้นเลย

ค. พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนต่อไปอีกกว่าเขาโกรธมา เราไม่โกรธตอบไป อย่างนี้เรียกว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก เมื่อรู้ทันว่าคนอื่นหรืออีกฝ่ายหนึ่งเขาขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เรามีสติระงับใจไว้เสีย ไม่เคืองตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย คือ ช่วยไว้ทั้งเขาและทั้งตัวเราเอง เพราะฉะนั้น เราอย่าทำตัวเป็นผู้แพ้สงครามเลย จงเป็นผู้ชนะสงครามและเป็นผู้สร้างประโยชน์เถิด อย่าเป็นผู้สร้างความพินาศวอดวายเลย

ถ้าคิดนึกระลึกอย่างนี้แล้วก็ยังไม่หายโกรธให้พิจารณาขั้นที่สองต่อไปอีก




ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ

ในขั้นนี้มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้มากมาย เช่นว่า คนขี้โกรธจะมีผิวพรรณไม่งาม คนขี้โกรธนอนก็เป็นทุกข์ ฯลฯ คนโกรธไม่รู้เท่าทันว่าความโกรธนั้นแหละคือภัยที่เกิดขึ้นข้างในตัวเอง พอโกรธเข้าแล้วก็ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ โกรธเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม เวลาถูกความโกรธครอบงำ มีแต่ความมืดตื้อ คนโกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย แต่ภายหลังพอหายโกรธแล้ว ต้องเดือดร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา

แรกจะโกรธนั้น ก็แสดงความหน้าด้านออกมาก่อนเหมือนมีควันก่อนจะเกิดไฟ พอความโกรธแสดงเดชทำให้คนดาลเดือดได้ คราวนี้ละไม่มีกลัวอะไร ยางอายก็ไม่มี ถ้อยคำไม่มีคารวะ ฯลฯ คนโกรธฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าคนสามัญก็ได้ทั้งนั้น ลูกที่แม่เลี้ยงไว้จนได้ลืมตามองดูโลกนี้แต่มีกิเลสหนา พอโกรธขึ้นมาก็ฆ่าได้แม้แต่แม่ผู้ให้ชีวิตนั้น ฯลฯ

กาลีใดไม่มีเท่าโทสะ ฯลฯ เคราะห์อะไรเท่าโทสะไม่มี

ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายให้มากมาย อย่างพุทธพจน์นี้เป็นตัวอย่าง แม้เรื่องราวในนิทานต่าง ๆ และชีวิตจริงก็มีมากมาย ล้วนแสดงให้เห็นว่าความโกรธมีแต่ทำให้เกิดความเสียหายและความพินาศ ไม่มีผลดีอะไรเลยจึงควรฆ่ามันทิ้งเสีย อย่าเก็บเอาไว้เลย ฆ่าอะไรอื่นแล้วอาจจะต้องโศกเศร้าเสียใจ แต่ ฆ่าความโกรธแล้วนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้วไม่โศกเศร้าเลย

พิจารณาโทษของความโกรธทำนองนี้แล้วก็น่าจะบรรเทาความโกรธได้ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จก็ลองวิธีต่อไปอีก



ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ

ธรรมดาคนเรานั้น ว่าโดยทั่วไป แต่ละคน ๆ ย่อมมีข้อดีบ้าง ข้อเสียบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง จะหาคนดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีข้อบกพร่องเลย คงหาไม่ได้หรือแทบจะไม่มี บางทีแง่ที่เราว่าดี คนอื่นว่าไม่ดี บางทีแง่ที่เราว่าไม่ดี คนอื่นว่าดี เรื่องราว ลักษณะหรือการกระทำของคนอื่นที่ทำให้เราโกรธนั้น ก็เป็นจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของเขาอย่างหนึ่ง หรืออาจเป็นแง่ที่ไม่ถูกใจเรา เมื่อจุดนั้นแง่นั้นของเขาไม่ดีไม่ถูกใจเรา ทำให้เราโกรธ ก็อย่ามัวนึกถึงแต่จุดนั้น แง่นั้นของเขา พึงหันไปมองหรือระลึกถึงความดีหรือจุดอื่นที่ดีๆ ของเขา เช่น

คนบางคน ความประพฤติทางกายเรียบร้อยดี แต่พูดไม่ไพเราะ หรือปากไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ประพฤติเกะกะระรานทำร้ายใคร

บางคนแสดงออกทางกายกระโดกกระเดกไม่น่าดู หรือการแสดงออกทางกายเหมือนไม่มีสัมมาคารวะ แต่พูดจาดี สุภาพ หรือไม่มีก็อาจพูดจามีเหตุมีผล หรือบางคนปากร้ายแต่ใจดีหรือสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยดี แต่เขาก็รักงานตั้งใจทำหน้าที่ของเขาดี หรือคราวนี้เขาทำอะไรไม่สมควรแก่เรา แต่ความดีเก่า ๆ เขาก็มีเป็นต้น

ถ้ามีอะไรที่ขุ่นใจกับเขา ก็อย่าไปมองส่วนที่ไม่ดี พึงมองหาส่วนที่ดีของเขาเอาขึ้นมาระลึกนึกถึง ถ้าเขาไม่มีความดีอะไรเลยที่จะให้มองเอาจริง ๆ ก็ควรคิดสงสาร ตั้งความกรุณา แต่เขาว่าโธ่ ! น่าสงสาร ต่อไปคนคนนี้คงจะต้องประสบผลร้ายต่าง ๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้ นรกอาจรอเขาอยู่ ดังนี้เป็นต้น พึงระงับความโกรธเสีย เปลี่ยนเป็นสงสารเห็นใจหรือคิดช่วยเหลือแทน

ถ้าคิดอย่างนี้ ก็ยังไม่หายโกรธ ลองวิธีขั้นต่อไปอีก



ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และเป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู

ธรรมดาศัตรูย่อมปรารถนาร้าย อยากให้เกิดความเสื่อมและความพินาศวอดวายแต่กันและกัน คนโกรธจะสร้างความเสื่อมพินาศให้แก่ตัวเองได้ทั้งหลายอย่าง โดยที่ศัตรูไม่ต้องทำอะไรให้ลำบากก็ได้สมใจของเขา เช่น ศัตรูปรารถนาว่า ขอให้มัน (ศัตรูของเขา) ไม่สวยไม่งาม มีผิวพรรณไม่น่าดู หรือ ขอให้มันนอนเป็นทุกข์ ขอให้มันเสื่อมเสียประโยชน์ ขอให้มันมันเสื่อมทรัพย์สมบัติ ขอให้มันเสื่อมยศ ขอให้มันเสื่อมมิตร ขอให้มันตายไปตกนรก เป็นต้น เป็นที่หวังได้อย่างมากว่า คนโกรธจะทำผลร้ายเช่นนี้ให้เกิดแก่ตนเองตามปรารถนาของศัตรูของเขา ด้วยเหตุนี้ ศัตรูที่ฉลาดจึงมักหาวิธีแกล้งยั่วให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธ จะได้เผลอสติทำการผิดผลาด เพลี่ยงพล้ำ

เมื่อรู้เท่าทันเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะทำร้ายตนเองด้วยความโกรธ ให้ศัตรูได้สมใจเขาโดยไม่ต้องลงทุนอะไร

ในทางตรงข้าม ถ้าสามารถครองสติได้ จึงกระทบอารมณ์ที่น่าโกรธก็ไม่โกรธ จิตใจไม่หวั่นไหว สีหน้าผ่องใส กิริยาอาการไม่ผิดเพี้ยน ทำการงานธุระของตนไปได้ตามปกติ ผู้ที่ไม่ปรารถนาดีต่อเรานั่นแหละจะกลับเป็นทุกข์ ส่วนทางฝ่ายเราประโยชน์ที่ต้องการก็จะสำเร็จ ไม่มีอะไรเสียหาย

อาจสอนตัวเองต่อไปอีกว่า

ถ้าศัตรูทำทุกข์ให้ที่ร่างกายของเจ้า แล้วไฉนเจ้าจึงมาคิดทำทุกข์ให้ที่ใจของตัวเอง ซึ่งมิใช่ร่างกายของศัตรูสักหน่อยเลย

ความโกรธ เป็นตัวตัดรากความประพฤติดีงามทั้งหลายที่เจ้าตั้งใจรักษา เจ้ากลับไปพะนอความโกรธนั้นไว้ ถามหน่อยเถอะ ใครจะเซ่อเหมือนเจ้า

เจ้าโกรธว่าคนอื่นทำกรรมที่ป่าเถื่อน แล้วไยตัวเจ้าเองจึงมาปรารถนาจะทำกรรมเช่นนั้นเสียเองเล่า

ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงแกล้งทำสิ่งไม่ถูกใจให้ แล้วไฉนเจ้าจึงช่วยทำให้เขาสมปรารถนา ด้วยการปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นมาได้เล่า

แล้วนี่ เจ้าโกรธขึ้นมาแล้ว จะทำทุกข์ให้เขาได้หรือไม่ก็ตาม แต่แน่ๆ เดี๋ยวนี้เจ้าก็ได้เบียดเบียนตัวเองเข้าแล้วด้วยความทุกข์ใจ เพราะโกรธนั่นแหละ

ศัตรูอาศัยความแค้นเคืองใด จึงก่อเหตุไม่พึงใจขึ้นได้ เจ้าจงตัดความแค้นเคืองนั้นเสียเถิด จะมาเดือดร้อนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทำไม

จงพิจารณาถึงขั้นปรมัตถ์ก็ได้ว่า
ขันธ์เหล่าใดก่อเหตุไม่พึงใจแก่เจ้า ขันธ์เหล่านั้นก็ดับไปแล้ว เพราะธรรมทั้งหลายเป็นเพียงชั่วขณะ แล้วทีนี้เจ้าจะมาโกรธให้ใครกันในโลกนี้

ศัตรูจะทำทุกข์ให้แก่ผู้ใด ถ้าไม่มีตัวตนของผู้นั้นมารับทุกข์ ศัตรูนั้นจะทำทุกข์ให้ใครได้ ตัวเจ้าเองนั่นแหละเป็นเหตุของทุกข์อยู่ฉะนี้ แล้วทำไม่จะไปโกรธเขาเล่า

หินก้อนใหญ่


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาผู้ปราดเปรื่ององค์หนึ่งต้องการจะออกเดินทางท่องเที่ยว ไปเยี่ยมประชาชนของพระองค์

เมื่อมาถึงที่กลางตลาดพระองค์ก็เกิดความคิดที่แยบคายอย่างหนึ่งขึ้น

พระองค์นำหินก้อนใหญ่ มาวางกลางถนนกีดขวางทางเดินของชาวบ้าน และพระองค์ก็ไปซ่อนตัวและ คอยสังเกตอยู่ห่าง ๆ

ชาวนาคนแรกเดินผ่านมาพร้อมทั้งบ่นอย่างไม่พอใจ ว่าใครกันที่เป็นผู้ที่นำหินนี้มากีดขวางทางเดินของเขา แต่แล้วเขาก็เดินอ้อมหินนั้นไป พระราชาก็มองดูด้วยความสนใจ

ต่อมามีหญิงเลี้ยงวัวคนหนึ่งเดินจูงวัวของตนมา เมื่อมองเห็นหินก่อนนั้นเธอก็พูดว่าทำไมหินก่อนนี้จึงมาอยู่ที่นี่ แล้วอย่างนี้เธอจะข้ามมันไปได้อย่างไร
พูดจบหญิงคนนั้นก็จูงวัวของเธอเดินหันหลังกลับไป โดยไม่สนใจที่จะเดินอ้อมมันไปเหมือนชาวนาคนแรก

เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหินก้อนใหญ่นั้น เค้าพยายามที่จะผลักหินไปให้พ้นทางแต่เพียงลำพังตัวเขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาจึงเดินหันหลังกลับไป
แต่เพียงไม่กี่อึดใจเด็กน้อยคนนั้น ก็เดินกลับมาพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน แล้วเด็ก ๆ ก็ช่วยกันผลักหินก้อนนั้นออกไปให้พ้นทางเดิน เมื่อพวกเขาเดินกลับมาที่ถนน พวกเขาก็พบถุงใส่เหรียญทองของพระราชาวางอยู่แทนที่หินก้อนนั้น

หินก้อนนั้นได้ให้ข้อคิดที่มีค่าอย่างหนึ่งนั่นก็คือ

อุปสรรคในชีวิตของพวกเรานั้นมีไว้เพื่อพิสูจน์ความกล้าของเราที่จะเผชิญหน้ากับมัน หากเราหนีปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหนีมันไปเรื่อยๆ
หากปัญหานั้นหนักหนาเกินกว่าเราจะฝ่าฟันไปได้
ลองมองไปรอบ ๆ ตัวแล้วเราจะพบว่ายังมีผู้ที่สามารถช่วยเราได้ มากเท่ากับผู้ที่เราสามารถจะช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคของเขาไปได้ และอุปสรรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ
ความอ่อนแอและความหวาดกลัวของตัวเราเองที่จะเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นเอง

อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้าม


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคน หนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว

วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง

มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ
ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ

ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป

หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น


ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา

จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น

"อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป"

ล้มแล้วยืน


ชนะ หมายถึงการลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ก้าวพลาด

ยกตัวอย่าง เช่น เบบ รูธ นักเบสบอลชื่อดังที่เคยพลาดถึง 1330 ครั้ง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็พูดไม่ได้จนอายุได้ 4 ขวบ
อาจารย์สอนดนตรีของบีโทเฟน เคยกล่าวว่า
เขาไม่มีหวังจะได้เป็นนักแต่งเพลง

หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้คะแนน ปานกลาง ในวิชาเคมี
นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดประดิษฐ์จรวด เวิร์นเฮอร์ วอน บราน์
สอบตกวิชาพีชคณิตที่เรียนอยู่ชั้นเกรด 9


นักวิทยาศาสตร์ เช่น มาดามแมรี คูรี ทำการทดลองขณะใกล้จะล้มละลายก่อนที่จะบุกเบิกศาสตร์แขนงนิวเคลียร์ เคมีและเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการวิทยาศาสตร์โลกตลอดไป


ไมเคิล จอร์แดน ถูกตัดออกจากทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน เมื่อขณะเรียนอยู่ชั้นไฮสคูลปี 2








ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ชีวิตในอดีตของชายผู้หนึ่งซึ่งเคยผิดพลาดมาหลายครั้ง แต่ก็ยังสู้ไม่ถอย ลองดูซิว่าคุณจะทายถูกหรือไม่ว่าเขาคือใคร

เขาเคยล้มเหลวทางธุรกิจขณะที่อายุได้ 22ปี

พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพื้อเป็นสมาชิกในสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเมื่ออายุได้23 ปี

ล้มเหลวทางธุรกิจอีกครั้งขณะที่อายุได้ 25 ปี

รับมือกับการเสียชีวิตของแฟนสาวอันเป็นที่รักยิ่งเมื่ออายุได้ 26ปี

เจ็บป่วยเนื่องจากระบบประสาทล้มเหลวเมื่ออายุได้ 27 ปี

พ่ายแพ้จากตำแหน่งโฆษกรัฐบาลเมื่ออายุได้ 29ปี

พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อเพื่อเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้งเมื่ออายุได้34 ปี

ได้รับเป็นผู้แทนในสภาครองเกรสเมื่ออายุได้ 37 ปี

พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อสำหรับเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้ง
เมื่ออายุ ได้ 39 ปี

พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 46 ปี

พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพีอเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่ออายุได้ 47 ปี

พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 49 ปี





เขาผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ..........อับราฮัม ลินคอร์น

เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมืออายุได้ 51 ปี เขาลุกขึ้นทุกครั้งที่เขาล้ม และในที่สุดก็บรรลุจุดหมายในชีวิต ได้รับความนับถือและความชื่นชมจากนานาประเทศและมวลชนทั่วโลก

คุณของความเครียด


ทมยันตีเคยเล่าว่านวนิยายเบาสมองของเธอที่ใช้นามปากกาว่า "โรสลาเรน" นั้น ล้วนเขียนในยามที่กำลังเครียดทั้งนั้น มุขตลกของชาร์ลี แชปลิน ซึ่งนำความครื้นเครงมาสู่ชาวโลกนั้น ส่วนใหญ่ก็ขุดมาจากเบื้องหลังชีวิตอันทุกข์ระทม ดาวตลกเป็นจำนวนไม่น้อยก็มีชีวิตไม่ต่างจากเขา เพราะฉะนั้นความเครียดจึงมิใช่สิ่งกดดันบั่นทอนชีวิตแต่ถ่ายเดียว หากยังเป็นปัจจัยแห่งการสร้างสรรค์ด้วย

จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดัน ให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษ ในการฉกฉวยอะไรก็ได้เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์") ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียวก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ

แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้ นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้ เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลาง ๆ มากขึ้น ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้

มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวัน ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง

ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง

ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุย จนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น

เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว.

คำถามเปลี่ยนชีวิต


มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย

"ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียวเวลาหลับ"

ขอบอกว่านี่เป็นปริศนาประลองเชาว์ ไม่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว

ถ้าผ่านไป 5 นาทีแล้วคุณยังคิดไม่ออก
(หรือยังตอบได้ไม่ถูกใจทั้งคนถามและคนฟัง)
นั่นเพราะคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ไหมว่า...
ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา

ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า..
ทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา

เท่านี้แหละ คำตอบก็ออกมาทันทีว่า
"ถ้ามันหดทั้งสองขา มันก็ล้มน่ะสิ"

ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่าย หากเราเปลี่ยนมุมมอง
หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางยืนขาเดียว
กับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน
แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน
และสามารถชักนำความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้

การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมอง
ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยให้เรารอดพ้นจากอาการหน้าแตก
เวลาถูกจู่โจมด้วยปริศนาแบบนี้ (ซึ่งบางคนเรียกอย่างเจ็บแค้นว่า
ปริศนาปัญญาอ่อน)
ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่านั้น
เชื่อหรือไม่ว่า มันอาจจะมีผลถึงกับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้

คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ
เฝ้าบ่นในใจว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย" ไม่ว่าเขา (หรือเธอ)
คนนั้นเป็นเพื่อนหรือคู่รักของคุณก็ตาม
การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้
บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว
ยังอาจหมางเมินเขามากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก

ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า
"แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า"
การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้
เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน

สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหาก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง

แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่น
ถึงตรงนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา"
แต่อยู่ที่ "ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา" และ"ทำอย่างไร
เราถึงจะเข้าใจเขาได้"

ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า "ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้"
หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า "ทำไมฉันชอบบ่นอย่างนี้"
เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อหรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่า

การรู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
ทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก
คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือ
คำถามเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของเรา ถ้าตั้งคำถามผิดา
ก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย

เด็ก (และผู้ใหญ่) หลายคน
ชอบถามในใจเวลามีงานมากองอยู่ข้างหน้าว่า "ฉันจะทำได้หรือ"
คำถามอย่างนี้ชวนให้ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไป
หากเขาถามตัวเองใหม่ว่า "ทำไมฉันจะทำไม่ได้"

อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งอุปสรรคไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าทำได้หรือไม่ได้
หากอยู่ที่แรงจูงใจ

มีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่า
เป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด
แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ
คำถามว่า "ทำแล้วฉันจะได้อะไร"
คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก

จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า
"ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร"
การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้
จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น
และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า
"ทำแล้วเธอได้อะไร" หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า "ได้ไปเท่าไหร่"

การถามว่า ใคร กับ ทำไม ก็ให้ผลที่แตกต่างกันมาก
เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า ใครทำ
แต่ไม่ค่อยถามว่า ทำไมเขาจึงทำ
คำถามแรกนั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น
แต่คำถามหลังช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหา
และอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้

คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ
โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล
ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม
คุณโสภณเล่าว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น
จะไม่ถามพนักงานว่า "ใครทำ" แต่จะถามว่า "ทำไมถึงเกิดขึ้น"

วิธีการดังกล่าวมีผลคือ
ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข
แทนที่จะซัดทอดหรือกล่าวโทษกัน
ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น
ในเวลาไม่นานโรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย
กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคง
ส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม
คงไม่มีคำถามใดสำคัญเท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเอง
ถ้าเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อนกับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า
"เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที" ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า
"เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอใจกับความรวยของฉันเสียที"
ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้
แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะเอาแต่ชะเง้อมองคนอื่นที่รวยกว่า

แต่ถึงแม้คุณจะยังไม่รวย พยายามบ่มเพาะความพอใจในสิ่งที่ตนมี
แล้วคุณจะพบกับความรวยชนิดที่ไม่มีใครมาแย่งชิงได้
แม้จะอิจฉาตาร้อนจนลุกเป็นไฟก็ตาม

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยางลบ..กับการแก้ไขสิ่งผิดพลาด



สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่าเวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่

รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ

เช่นถ้าฉันตั่งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้นตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ

และแม้นฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง

เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด

ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ

การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง

ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้

ดังนั้นเราต้องตั่งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง

เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ

ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ?



...ผมไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย...


บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป

เพียงเพราะใช้เวลาสั้นๆ ในการตัดสินสิ่งนั้นว่า " ไร้สาระ"

หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ? "

ผมไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่

เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า "ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั้ง

หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทาง

ได้มียางลบ ใช้มั้ง"

เพื่อนของผมก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผม สั้นๆ ว่า "ไม่ใช่"

"อ้าว. . .งั้นเพราะอะไรล่ะ" ผมอดที่จะถามไม่ได้

ก็เพราะว่า " คนเราสามารถทำผิดกันได้ "

". . . . . . . . . . . . . . . . . . " ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง

หลังจากที่ได้ยินคำตอบ

และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป

โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้น

คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ

กลับทำให้ผม ได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง

เย็นวันนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์เขียนข้อความส่งถึงเพื่อนๆ ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน. . .

" ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ

........................................................

เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้

........................................................

แต่จงจำไว้ว่า. . .เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ

เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"

ผมเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดต่อจากเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่

และเพื่อนๆ ที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า

จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ. . .นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการมากสักเท่าไหร่

แต่สิ่งที่ผมอยากได้รับ คือ เพื่อนของผมจะคิดต่อจากความคิดของผมอย่างไร

และลึกๆ ผมก็แค่หวังว่า เพื่อนของผมคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด

และไม่ประมาทในการใช้ชีวิตและยอมรับการกระทำของตัวเอง. . .

เพียงแค่นั้น ผมก็หมดห่วง

และเพื่อน ๆ ที่ได้อ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับว่า
ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ

อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคน หนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว

วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง

มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ
ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ

ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป

หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร
มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น

ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา

จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น

วันแรกของวันที่เหลืออยู่


ความเป็นจริงแห่งทุกข์