วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นกย้ายรัง

กาลครั้งหนึ่งมีเจ้านกตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นไม้เก่าแก่ที่ดูจะทรุดโทรมลงทุกที
แต่เจ้านกตัวนั้นก็ยังเคยชินที่จะสร้างรังอยู่บนกิ่งก้านผุพัง และเฝ้ามองบรรยากาศรอบๆ ตัวอยู่เช่นนั้น
ทั้งๆ ที่มันรู้ดีว่าสภาพแวดล้อมที่นี้ไม่ดีนักคุณภาพชีวิตก็อยู่อย่างย่ำแย่
และทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ เจ้านกก็ไม่คิดจากไป เพราะสำหรับมันแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าที่ไหนๆ ถ้าจะให้มันทิ้งความมั่นคงและต้องเดิน
ทางไกลละก็   ไม่มีทางเป็นอันขาด  จนมาวันหนึ่งเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อต้นแอปเปิล
ถูกพายุพัดจนถอนรากถอนโคน เจ้านกที่น่าสงสารจึงจำยอมต้องออกบินไปไกลนับร้อยลี้เพื่อหาแหล่ง
พักพิงแห่งใหม่ สุดท้ายมันก็บินมาถึงผืนป่าที่แสนอุดมสมบูรณ์ บนต้นไม้เต็มไปด้วยแมลงและดักแด้
อีกทั้งทิวทัศน์ก็งดงาม อากาศอบอุ่นชุ่มชื้น สำหรับนกตัวนี้แล้ว การละทิ้งความมั่นคงที่เคยเป็นภาพมายา
ในอดีตออกบินไปสู่อาณาจักรแห่งใหม่นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก เพราะทำให้มันได้พบกับ ฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่
ถ้าต้นไม่ไม่โค่นล้มลง เจ้านกน้อยก็ไม่มีวันได้พบกับชีวิตใหม่ คงได้แต่จมอยู่กับความทุกข์โศก ยุ่งยากใจ
ประหวั่นวิตก และใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข
(เจิงเสี่ยว เกอ "no change no opportunity")

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

วางลง ก็เป็นสุข

ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตของตนน่าเบื่อหน่าย
จึงขอพบพระอาจารย์เซ็นอู้จี้เพื่อขอคำชี้แนะ ว่าทำอย่างไรตนจึงจะมีความสุข
พระอาจารย์ไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่หยิบตะกร้าไผ่ใบหนึ่ง
นำชายหนุ่มมายังริมแม่น้ำเล็ก ๆ
ลมเย็นโบกพัด พวกเขาเดินเลาะริมฝั่ง
แล้วอยู่ ๆ พระอาจารย์อู๋จี้ก็บอกกับชายหนุ่มว่า


" เจ้าเห็นก้อนหินที่อยู่ตามทางนั่นไหม นับจากนี้เมื่อเจ้าเดินก้าวหนึ่ง
ก็จงหยิบขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วใส่ไว้ในตะกร้าไผ่ข้างหลัง ตกลงไหม "

ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจเจตนาของพระอาจารย์
แต่เมื่อเห็นก้อนหินรูปทรงประหลาดมากมายริมแม่น้ำ
ก็พยักหน้าด้วยความยินดี พลางเดินหยิบก้อนหินไปพลาง
ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า ตะกร้าไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังก็หนักอึ้งเกินกว่าจะทำให้จิตใจเบิกบาน

ในที่สุดเขาก็เดินไปจนสุดทาง พระอาจารย์ถามเขาว่า
" รู้สึกอย่างไรบ้าง "

เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ
" ตะกร้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะแบกไม่ไหวแล้ว ! "

พระอาจารย์กล่าวยิ้ม ๆ ว่า
" รู้ไหม เหตุใดจึงไม่เป็นสุข เพราะเจ้าแบกสิ่งของเอาไว้มากเกินไป "

จากนั้นพระอาจารย์ก็หยิบก้อนหินในตะกร้าออกมาทีละก้อน พลางพูดว่า..
" ก้อนนี้คืออำนาจ ก้อนนี้คือเงินทอง ก้อนนี่คือหญิงงาม ก้อนนี้คือความกลัดกลุ้ม นี่คือความเหงา..."

เมื่อก้อนหินเหล่านั้นถูกโยนทิ้งไป ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไผ่ขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้สึกเบาโล่ง ทำให้เขาได้สติขึ้นในฉับพลัน
แค่วางลง ก็เป็นสุขแล้ว !
ขอเพียงแค่ยอมวางลง ความสุขก็จะล้นปรี่อยู่ทุกวัน
เราจงฝึกฝนการวางลงด้วยกันเถิด

ปล่อยวางตำแหน่งหัวโขนที่ทำให้กลัดกลุ้ม
ปล่อยวางการแพ้ชนะที่ชวนให้อ่อนล้า
ปล่อยวางความสูญเสียครั้งหนึ่งที่ทำให้หัวใจปวดร้าว
ปล่อยวางความสัมพันธ์ที่นำพาแต่ความทุกข์
ปล่อยวางความเจ็บปวดที่ ค้างคาใจ
ปล่อยวางความทุกข์ เศร้า เหงา ตรม..
ทำชีวิตให้กลับมาเรียบง่าย กลับมาสดใสอีกครั้ง


วางลง ก็เป็นสุข
วางลง ก็คือความสุข !

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554


เรามักถูกสอนให้มองด้านดีว่า แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนั้น มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้ว มากกว่าที่จะมองว่าน้ำหายไปครึ่งแก้ว แต่จะมองด้านไหนก็ตาม ก็ทำให้เราคิดว่าแก้วยังขาด พร่อง ยังต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม



ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่ เสียก่อน แล้วเราจะอิ่ม จะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถ ในการหาเงิน หาของ หาความรัก ให้ได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม น้ำในแก้วก็ไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้น ไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ



เมื่อก่อนที่เราคิดว่า ถ้าเรามีเงินล้าน เราจะมีความสุข พอเรามีเข้าจริงๆปริมาณความต้องการ มาตรฐานการครองชีพ ความเป็นอยู่ของเราก็โตรุดหน้าไป จนเราต้องหาเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งอย่าว่าแต่คนมีเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน ขนาดคนที่มีเป็นหมื่นล้าน ยังหาเงินอย่างไม่รู้จักอิ่มรู้จักพอ รวมทั้งคนที่เรารักหนักหนา ยากลำบากกว่าจะได้มา พออยู่กันไปนาน ๆ ใจเราก็เรียกร้อง มากขึ้นๆ เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่อิ่ม ไม่เต็มได้ตลอดเวลา แก้วน้ำหรือความอยากในใจเรา ไม่เคยหยุดโต หาเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม

เคล็ดลับของความสุขก็คือ เราพยายามอย่างเต็มที่ในการหาเงิน หาความรัก เหมือนหาน้ำมาใส่แก้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับขนาดของแก้วให้พอดีกับน้ำ ให้ใจเราสามารถที่จะมีความสุขสงบพอใจกับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องรออนาคต ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แต่เราสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลง จนเหลือเพียง 1 ใน 4 น้ำที่มีครึ่งแก้ว ก็จะล้นมีเกินอยู่อีกเท่าตัว มีเกินพอสำหรับเรา และ พอที่จะแบ่งให้คนอื่นเมื่อเราเต็ม เราก็ไม่ต้องไปวิ่งหาน้ำมาเติมอีก มีเวลาเหลือเฟือให้คนที่เรารัก ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง

การลดขนาดของแก้วน้ำก็คือ การที่เราหมั่นตามรู้ ตามดูจิตใจ ความรู้สึก ความคิดของเราแต่ละขณะที่เรารู้ทันใจเราที่อยากได้ อยากให้คนอื่นคิดให้ถูกใจเราทุกขณะที่เรารู้ทัน ความอยากจะทำงานไม่ได้ เราก็ได้ลดขนาดของแก้วลงทุกขณะ ที่เรามีความรู้สึกตัว ชีวิตเราก็จะเป็นแก้วที่อิ่มเต็มพอดี พอเพียงมีความสุขมั่นคง

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คุณกำลังทุกข์เพราะยึดติดหรือเปล่า




















17 ข้อคิด..คนรวย/คนจน

1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง"
คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะเอาชนะ
คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย
คนจนแค่อยากรวย

4. คนรวยคิดการใหญ่
คนจนคิดการเล็ก


5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส
คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ
คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบ ความสำเร็จ

7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ
คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ

8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง
คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก
คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม
คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน
คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน

12. คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง"
คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"

13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน
คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน
คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ

15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง
คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว
คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา
คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ถึงคนที่แต่งงานแล้ว...และคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน







เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วกินใจมาก
ลองอ่านและซึมซาบความรู้สึกอย่างช้า ๆ

' เมื่อเธอต้องการหย่าขาดจากชั้นไป....
เธอควรเป็นคนที่จูงมือชั้นออกไป '

ในวันแต่งงานของผม ผมจูงมือภรรยาของผมในอ้อมแขน
รถแต่งงานจอดหน้าที่พักของเรา
เพื่อนเจ้าบ่าวบอกผมว่า ผมควรจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้าน
ดังนั้นผมจึงทำตาม
เธอเขินอายในอ้อมแขนผม

ผมช่างเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลก...
นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปี... ในวันถัดๆ มาทุกอย่างก็เหมือนเดิม

เรามีลูกด้วยกัน...ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว...
เมื่อเราเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น...
ความห่างของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน...
ทุกๆเช้าเราออกจากบ้านไปด้วยกันแล้วก็ถึงบ้านเวลาเดียวกัน
ลูกเราเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ดูเหมือนความรักของเราช่างน่าอิจฉายิ่งนัก...

แต่แล้ว
ความสงบสุขก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมิได้คาดหมาย...

เจนเข้ามาในชีวิตของผม .... ผมยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน...
เจนเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง..
หัวใจผมเต้นแรงด้วยความรัก...

ที่นี่...เป็นอพาร์เมนท์ที่ผมซื้อให้เธอ...
เธอบอกว่า คุณเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคน ถวิลหา...

คำพูดของเธอทำให้ผมนึกถึงภรรยาผม...
ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ..เธอบอกว่า
วันที่คุณประสบความสำเร็จ
ผู้ชายอย่างคุณจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหา...

ผมเริ่มรู้สึกลังเล...
ผมรู้ว่าผมกำลังทรยศภรรยาผม...
แต่ผมก็ได้ทำลงไปแล้ว...
ผมปลีกตัวออกจากเจน
วันนี้คุณไปเลือกเฟอร์นิเจอร์เองแล้วกันน๊ะ
ผมต้องเข้าออฟฟิศ ...
แน่นอน... เธอไม่ค่อยพอใจนัก เพราะผมสัญญากับเธอว่าเราจะไปด้วยกัน...

ในตอนนั้น...ความรู้สึกถึงการหย่าร้างเริ่มวิ่งเข้ามาในความคิดผม....
ทั้งที่จริงๆแล้วผมไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ผมก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะบอกกับภรรยาของผม....
ไม่ว่าผมจะพูดกับเธอดีสักเพียงใด...
เธอจะต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน...
จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาที่ดีมาก.. ทุก ๆ
เย็นเธอจะวุ่นวายกับการทำอาหาร..ในขณะที่
ผมนั่งอยู่หน้าทีวี ทานอาหารเสร็จเราก็นั่งดูทีวีด้วยกัน...
หรือ... ถ้าผมจะเลือกเป็น...นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์....
มองเรือนร่างอันงดงามของเจน...
ช่างเป็นอะไรที่หน้าฝันถึงเสียจริง

วันนึงผมพูดทีเล่นทีจริงกับภรรยาของผมว่าจะเธอจะทำยังงัยถ้าเราหย่ากัน...
เธอจ้องมองผมอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน...และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร..
เธอมั่นใจว่าการหย่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเธอมาก..
ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเธอรู้ว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง... เธอจะเป็นอย่างไร

วันนึงภรรยาผมมาที่ออฟฟิศ...สวนทางกับเจนที่เพิ่งจะออกไปพอดี...
พนักงานทุกคนทำหน้าตาเลิกลัก... เหมือนกำลังพยายามซ่อนอะไร! บางอย่างจากเธอ....
เธอเหมือนจะรับรู้มันได้... แต่เธอก็ยิ้มน้อย ๆกับพนักงานทุกคน....
แต่ผมก็สังเกตุเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอภายใต้รอยยิ้มนั้น

ในที่สุด...เจนก็บอกกบผมว่า...หย่ากับเธอน๊ะ..แล้วเราอยู่ด้วยกัน..ผมพยักหน้า....

ผมจะลังเลอีกต่อไปไม่ได้อีกแล้ว....ผมตัดสินใจบอกภรรยาผมในอาหารค่ำ..
ผมมีอะไรจะบอกคุณ... เธอนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ...
ผมสังเกตุเห็นแววตาอันเจ็บปวดของเธอ...มันทำให้ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการพูดไม่ออก..
แต่ท้ายที่สุดผมก็พูดออกไป...

ผมต้องการหย่า...

เธอดูไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไปเลย...
ผมย้ำกับเธออีกครั้ง..เธอเขวี้ยงตะเกียบในมือทิ้ง...
แล้วตะโกนใส่หน้าผมว่า..คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย...เราไม่ได้คุยกันอีกเลยคืนนั้น...

เธอร้องไห้อย่างหนัก..

ผมรู้ว่าเธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแต่งงานของเรา...
แต่ผมเองไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้...เป็นเพราะใจผมได้ให้เจนไปหมดแล้วงั้นเหรอ...
ผมคงไม่สามารถบอกเธออย่างนั้นได้..มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก...

ผมร่างสัญญาการหย่าร้างขึ้น...ระบุว่า..เธอเป็นเจ้าของบ้าน...
ทุกๆ อย่างในบ้าน ทั้งรถ... หุ้นบริษัท 30% ผมยกให้เธอหมด....

เธอเหลือบมองกระดาษที่ผมร่างขึ้นแล้วฉีกมันทิ้ง..
มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น...
ผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นระยะเวลาสิบปีกลายเป็นคนแปลกหน้ากันภายในหนึ่งวัน...
ผมไม่สามารถคืนคำที่ผมพูดไปได้...








เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด...
สำหรับผมแล้ว...การร้องไห้ของเธอเหมือน
เป็นการปลดปล่อยความสับสนของตัวผมเอง...

หลังจากที่ผมกลุ้มใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของผม
. ในที่สุด...มันก็เป็นรูปธรรมขึ้นมาจริงๆ เสียที

คืนนั้น...ผมกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก...
เห็นเธอเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะ.
. ผมหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเพลีย...
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีแล้วพบว่า...

เธอเขียนเงื่อนไขการหย่าร้างว่าเธอไม่ต้องการสิ่งใดจากผม...
แต่เธอต้องการให้ผมให้เวลาเธอหนึ่งเดือนเพื่อตั้งตัวสำหรับการหย่า...
และในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นทุกอย่างต้องดำเนินไปตามปกติ...
ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการให้ลูกจบการศึกษาซึ่งกำลังจะมาถึงเสียก่อน..
เธอไม่อยากให้ลูกต้องเห็นความล้มเหลวในการแต่งงานของพ่อแม่ก่อน
เวลานั้นจะมาถึง...

รัชต์..คุณจำได้มั๊ย...วันที่เราแต่งงานกัน...คุณประคอง
ชั้นไว้ในอ้อมกอดในวันที่เราเข้าเรือนหอ..
ผมพยักหน้า..นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของชั้น. ..

ชั้นมีเรื่องขอร้อง...
ชั้นอยากให้คุณประคองชั้นไว้ในอ้อมกอดจากห้อง
นอนไปถึงด้านล่างทุกวันนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน
ผมยอมรับด้วยความเต็มใจ...ผมรู้ดีว่า เธอคิดถึงวันดีๆ เหล่านั้น...
และเธอต้องการให้ชีวิตการแต่งงานเธอจบลงด้วยความทรงจำที่ดี

ผมบอกเจนถึงเงื่อนไขที่ภรรยาผมตั้งขึ้นในการหย่าร้าง...
เธอหัวเราะถึงความไร้สาระของเงือนไข....
ภรรยาผมบอกกับผมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
.. เธอจะต้องยอมรับผลของการหย่าร้างให้ได้...

คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง...

เราไม่ได้ถูกต้องตัวกันเลยนับแต่วันที่ผมขอเธอหย่า
.. ความจริงเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไป...

พอถึงวันที่ผมประคองเธอลงจากห้องวันแรก...มันจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก...
ลูกชายเราตบมือแล้วพูดด้วยความดีใจว่า

ว้าว...วันนี้พ่ออุ้มแม่ลงจากห้องด้วย....มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น...... !
เธอบอกว่าอย่าบอกลูกเราถึงเรื่องของเรา...ผมพยักหน้า...ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม...
ผมขับรถไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์..แล้วเลยไปออฟฟิศ

วันถัดมา...ความรู้สึกขัดเขินเริ่มน้อยลงไป...เธอซบบนอกผม...
เราใกล้ชิดกันมากจนผมได้กล ิ่นน้ำหอมของเธอ...
ผมถึงได้ตระหนักว่า....เธอไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไปแล้ว...เธอเริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น

ในวันที่สาม...เธอกระซิบบอกผมว่าสวนกำลังรื้ออยู่ให้เดินระวังด้วย...

ในวันที่สี่...มันช่างเหมือนกับว่าเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นมาก...ภาพของเจนเริ่มเลือนลางไป...

วันที่ห้าและหก..เธอคอยเตือนผมในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเธอวางเตารีดไว้ที่ไหน.
ผมควรจะระวังอะไรบ้างตอนทำอาหาร...และอื่นๆ อีกมากมาย...
ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้นทุกที...ผมไม่ได้บอกเจนถึงเรื่องนี้เลย... !
ผมรู้สึกว่าผมอุ้มเธอง่ายขึ้นทุกวันโดยไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอเลย...







หรือบางทีคงเป็นเพราะผมแข็งแรงขึ้น...แต่แล้วผมก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...
เป็นเพราะว่าเธอผอมลงจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าเดิมได้
. นั่นต่างหากที่ทำให้ผมอุ้มเธอได้ง่ายขึ้น ผมรู้ดีว่าเธอพยายามซ่อนความขมขื่นเอาไว้...
ลูกของเราร้องขึ้นว่า พ่อได้เวลาอุ้มแม่แล้วน๊ะ..
สำหรับลูกแล้ว...การได้เห็นพ่ออุ้มแม่เป็นภาพที่เขามีความสุขที่สุด....
เธอเอื้อมมือไปกอดลูกไว้แน่น...ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้จริง ๆ
ผมกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย

และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง....ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด.
. เท้าผมแทบจะก้าวไม่ออก......เธอบอกกับผมว่า...

ความจริงแล้ว...ชั้นอยากให้คุณอุ้มชั้นไปจนเราแก่เถ้า
.. ผมกอดเธอแน่น...และผมก็ตระหนักว่า..
ชีวิตคู่ของเราขาดการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
.. ผมขึ้นรถทันทีเพื่อจะไปยังจุดหมายใหม่..
ผมลังเลเล็กน้อย..

แต่ในที่สุดแล้ว..ผมก็มาพบเจนจนได้.
.. เธอเปิดประตูออก...ผมบอกเธอว่า
เจน..ผมขอโทษ...ผมจะไม่หย่า....
เธอมองหน้าผม แตะหน้าผากผม.. คุณสบายดีหรือเปล่า
เจน...ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริง ๆ...ผมจะไม่หย่ากับภรรยาผม...
ชีวิตการแต่งงานของเราน่าเบื่อมันเป็น
เพราะผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อย...
ผมขาดการเอาใจใส่ในตัวเธอ....มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน....
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ว่าตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเธอเข้าบ้าน
.. เธอมีลูกให้ผม...ผมควรจะประคองเธอไปจนแก่...
เจนตบหน้าผมอย่างแรงและกระแทกประตูใส่ผม....

ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะร้านดอกไม้....
พนักงานขายดอกไม้ถามว่าจะเขียนว่าอะไร
... ผมให้เธอเขียนว่า...ผมจะอุ้มคุณทุกเช้าจนกว่าเราจะแก่

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

คนที่ชอบ กับคนที่ใช่

เพื่อนผม เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอหน้าตาดี เราเรียนจบมาในคณะเดียวกัน หลังจากเรียนจบมาได้ ปีกว่าๆ ผมก็ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่ง วันแต่งงานของเธอ เธอดูสวยและสดใสเหมือนเดิม ดูท่าแล้วเธอคงจะเจอเนื้อคู่ ตามที่เธอใฝ่ฝันไว้แล้วจริงๆ เพื่อนสาวในกลุ่มของเธอถึงกับตาร้อนพ่าว อยากออกเย้าออกเรือนเหมือนกับเธอบ้าง ผ่านไปได้เกือบปีกว่าๆ ผมก็ได้ข่าวว่า เธอได้คลอดลูกแล้ว พวกเพื่อนๆ รวมทั้งผม ก็ได้ตามไปเยี่ยมเธอที่บ้าน เธอคงเป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่ผมเห็น เพราะทั้งสามีและครอบครัวของเธอ ดูมีความสุขกันถ้วนหน้า เพื่อนๆ ต่างล้อเธอว่า เธอเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะเธอได้สามีที่แสนดี ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะมันช่างแตกต่างจากหลายๆ คู่ที่ผมเคยได้ยินมา เวลาผ่านไปอีกปีกว่าๆ เช่นเคย ผมก็ได้รับข่าวว่าเธอคลอดลูกแล้วอีกคน ชีวิตเธอทำเอาผมเริ่มรู้สึกอยากมีชีวิตคู่ขึ้นมาทันที ผมไปเยี่ยมเธอเหมือนครั้งที่แล้ว แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูเธอมีความสุขที่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เธอเองก็บอกกับผมเช่นนั้น ชีวิตครอบครัวของเธอลงตัวกันได้อย่างดี สองปีผ่านไป เพื่อนในกลุ่มของเราแต่งงาน ผมได้เจอเธออีกครั้งในงานแต่งนี้ หลังเลิกจากงาน ผมอาสาพาเธอไปส่งบ้าน ตลอดเส้นทางเธอทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอได้เอ่ยคุยถึงเรื่องครอบครัว ผมบอกว่าเธอโชคดีที่ได้สามีคนนี้ แล้วเธอก็บอกกับผมว่า ไม่มีใครดีที่สุด ทุกคนย่อมมีข้อเสียและข้อดีแตกต่างกัน เขาก็มีข้อเสีย เราก็มีข้อเสีย แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่อยู่ได้คือ การให้อภัย และ การปล่อยวาง ไม่ใช่เธอไม่เคยเจอเรื่องที่ไม่พอใจ เพียงแต่เธอไม่ทำให้เป็นเรื่องมากกว่า ผมก็แอบชื่นชมเธออยู่ในใจ สักพักเธอก็พูดขึ้นมาว่า รู้ไหมแก บางครั้งฉันยังแอบคิดถึง คนที่ฉันเคยแอบรักเขาอยู่เลย ยังคงแอบคิดถึงอยู่เป็นประจำ แต่แกรู้ไหม ฉันรู้ดีว่า คนที่ฉันรักมันไม่ใช่คนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมทำหน้างงๆ เธอยิ้มแล้วพูดต่อว่า คนที่เรารักบางครั้งอาจไม่เหมาะที่จะมาใช้ชีวิตอยู่คู่กับเรา เขาเหมาะเพียงแค่ให้เราได้ แอบรัก แอบคิดถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรารู้ดีว่าคนที่จะอยู่กับเราได้นั้นต้องเป็นยังไง ฉันเองก็เลือกถูกต้องแล้ว ชีวิตคู่สมัยนี้คิดแต่ จะเลือกเฉพาะคนที่เรารัก แต่ไม่ได้มองว่าเขากับเราจะเข้ากันได้ไหม เขาเป็นคนยังไง จนกระทั่งอยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อความรักหายไป ความเป็นตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา อะไรที่ทำแต่ก่อนไม่เคยสนใจ เดี๋ยวนี้นิดหน่อยก็ขัดหูขัดตา แล้วก็มาจบลงด้วยการหย่าร้าง แกเชื่อเถอะว่า เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ แล้ว ความรักมักมาช้ากว่าอย่างอื่นเสมอๆ หากเราจะเลือกใครเป็นคู่ชีวิตสักคน เราควรจะมองเขาให้มากกว่าความรัก ผมขับรถมาถึงหน้าบ้านเธอพอดี สามีเธอออกมารับ สองคนพากันเข้าบ้าน ดูความรักของเธอและครอบครัวก็อบอุ่นดี หลังจากผมขับรถกลับ ผมก็คิดได้ทันทีว่า บ่อยครั้งคนที่อยู่เคียงข้างผมมักถามผมว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานสะที แต่ผมกับคิดถึงแต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมแอบหลงรัก จนลืมความจริงไปว่า เราควรอยู่กับสิ่งที่ใช่มากกว่าพยายามเรียกร้องหาสิ่งที่เป็นเพียงความว่างเปล่า คำพูดของเธอทำให้ผมมองชีวิตคู่เปลี่ยนไป และเปิดใจรับกับการแต่งงานมากขึ้น จนกระทั่งวันนี้ ผมมีลูกแล้วสองคน กับภรรยาที่ผมเลือกแล้วว่าเธอควรค่ากับการเป็นแม่ของลูกผม แล้วคุณล่ะ จะเลือก คนที่ใช่ หรือว่า คนที่ชอบ!!